การเดินทางบนเส้นทางของเราในประเทศที่เรามองว่าถ้าต้องนิยาม สิ่งที่เป็นตัวตนของที่นี่ ประเทศโมรอคโค (Morrocco) คงเป็นคำว่า...“ชีวิต ที่ไม่มีคำว่า จืดชืด” เรามุ่งสู่ทิศเหนือ เริ่มต้นจากเมืองเศรษฐกิจหลักของประเทศ คาซาบลังก้า (Casablanca) หลีกหนีความแออัดของเมืองใหญ่ ไปยังเมืองสุดขอบติดชายฝั่งทะเลในส่วนที่เรียกว่าช่องแคบยิบรอลตาร์ ทางทิศเหนือสุดของประเทศแทนเจียร์ (Tangier) ที่นี่เป็นจุดที่น้ำทะเลของมหาสมุทรแอตแลนติก มาบรรจบกับ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 

ด้วยทำเลที่ตั้งที่เป็นเสมือนประตูสู่สองแผ่นดิน คือ ยุโรป และ แอฟริกา แทนเจียร์ จึงดึงดูดหลายชนชาติ มาพำนักเป็นถิ่นอาศัย ใช้เป็นเมืองท่าเพื่อทำการค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้า ในหลายช่วงกาลเวลา เริ่มจาก 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช มาจนถึงปัจจุบัน และแน่นอนคนที่นี่ถนัดภาษาสเปน มากกว่าภาษาฝรั่งเศส เพราะสเปนอยู่ห่างออกไปอีกแค่เพียงปลายนิ้วสัมผัส (20 ไมล์) ปัจจุบันแทนเจียร์ เป็นหนึ่งในเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ ที่นี่มีโรงงานผลิตรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ มีโรงงานผลิตเครื่องนุ่งห่มและอื่นๆ อีกมากมาย 

จุดหมายที่สองบนดินแดนส่วนตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เป็นเมืองที่ชวนหลงใหล เหมาะกับนักถ่ายภาพทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น เพราะไม่ว่าจะมองผ่านเลนส์ หรือหน้าจอของมือถือ ไปทางไหน ก็กดเก็บภาพได้ทุกมุม 

เชฟเชาเอิน (Chefchaouen) เมืองสีฟ้า ในย่านเมืองเก่า ที่เดินเล่นได้อย่างสนุกสนาน กับทางเดินที่เป็นตรอก ซอก ซอย เล็กๆ บนพื้นทางเดินที่เป็นหินกรวดแบบโบราณ ตัดกับบ้านเรือน ร้านค้า และอาคารทุกอย่างที่เป็นสีขาว-ฟ้าสด สิ่งที่สะท้อนตัวตนของคนเมืองนี้ได้อย่างดี ในสายตาของเราคือ การแบ่งปันความสุขให้ผู้มาเยือนทุกคน รู้สึกปลื้มใจและขอบคุณชาวเมืองที่ร่วมใจ 
ร่วมมือกันเสกสรรค์เมืองเก่าน้อยๆแห่งนี้ ให้เป็นสวรรค์สำหรับนักเดินทาง และคงจะจริงที่ว่าสีสองโทนนี้ มันคือความมีชีวิตชีวา ความสดชื่น และความสุขใจ เราเห็นจากสายตา... หลายๆคนเริ่มหลงรัก สีฟ้าขาวแล้วละ ! 

ทำไมใครต่อใคร ต้องพูดถึงเมืองเฟส (Fes) เมืองมรดกโลก ในลิสต์ขององค์การยูเนสโก้ (UNESCO) เมื่อมาเยือนโมรอคโค ? 
ก็เพราะว่าเมืองเฟสเด่นชัดเหลือเกินในการเป็นเมืองศูนย์กลางวัฒนธรรม ที่แตกต่างจากเมืองอื่นๆบนโลกใบนี้ วัฒนธรรมที่ยาวนานของเฟส ก่อกำเนิดมาตั้งแต่สมัย ศ.ต.ที่ 9 สมัยที่เฟสถูกสร้างขึ้นให้เป็นราชธานีแห่งแรกของ ชาวเบอร์เบอร์ (Berber) การเดินชมเฟสในย่านเมืองเก่า ที่เรียกว่าเขตเมดินา แห่งเฟส (Medina of Fes) เหมือนกับเราเดินย้อนเวลาสู่อดีต ที่ช่างแตกต่างกับโลกยุคปัจจุบันของเรา เสียงตะโกนจากเจ้าของล่อ เจ้าของม้า รวมถึงเด็กหนุ่มๆที่รับจ้างเข็นสินค้า สิ่งของผ่านตรอกซอกซอยเล็กๆ ดังว่า “บาเล็ก บาเล็ก! ” (Balek) ตลอดเวลา นั่นหมายถึงเราต้องระวัง หลบเลี่ยงการถูกชนนั่นเอง แค่นี้ก็สนุกแล้วละ ! 
เที่ยวในเฟส ต้องฝึกอะไรหลายๆอย่างพร้อมๆกัน เดินไป ถ่ายรูปไป (แต่ต้องให้เร็ว) ทำ Street Shopping ไป หลบคน หลบม้า หลบล่อ หลบรถเข็น ระวังสะดุดพื้นไม่เรียบ ระวังหลงหาทางออกไม่เจอ เพราะเฟสมีแค่ 10,000 กว่าซอกซอยอีกสิ่งที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ เฟสโดดเด่นเรื่องอุตสาหกรรมฟอกย้อมสีหนัง Fes Tannery ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น กว่า 700 ปี หนังสัตว์ที่ใช้ มาจาก อูฐ วัว แพะ และแกะ จากแผ่นหนังหลังผ่านขบวนการฟอกย้อมสีธรรมชาติ บวกกับฝีมือของช่างตัดเย็บที่ไม่ธรรมดา กว่าจะกลายมาเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ที่มีคุณภาพดีทีเดียวแหละ งานศิลป์อุตสาหกรรมแบบในครัวเรือนของที่เฟส ไม่ได้มีเฉพาะการฟอกย้อมหนัง เท่านั้น หากแต่ยังมีการทำภาชนะ เครื่องใช้จากเงิน ทองเหลือง และทองแดง ที่มีรูปแบบและลวดลายเฉพาะตน มีการทำเซรามิค ที่ลวดลายเป็นแบบแขกมัวร์ ขนานแท้ มีเรื่องราวของการทอผ้า ที่ใช้เส้นใยของ ต้นอากาเว่ (Agave) ซึ่งเป็นพืชอยู่ในตระกูลของต้นกระบองเพชร เส้นใยจะเล็ก เหนียวแน่น และเงางามเหมือนใยไหม งานศิลปหัตถกรรมหลายๆแขนง ที่เห็นลูกหลานชาวเฟส ทำสืบทอดต่อกันมานับพันปี ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของการยังชีพ แต่ยังเป็นความภูมิใจในการสืบสาน "มรดกทางวัฒนธรรม" ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ เมืองเฟส แห่งนี้ FES...The Cultural Capital of Morocco! 

จากโอเอซิส สู่ซาฮาร่า From Oasis to SahaRa 
การเดินทางบนเส้นทางไต่เลาะ เทือกเขาแอตลาส (Atlas) ที่เป็นเสมือนพรมแดนที่กั้นระหว่างพื้นที่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมหาสมุทรแอตแลนติส กับทะเลทรายซาฮาร่า เราเริ่มจากแอตลาสส่วนตอนกลาง MiddleAtlas ในระดับความสูง 2,000 กว่าเมตร ที่มีทัศนียภาพสวยงามของป่าสนสลับกับส่วนของเทือกเขาที่ถูกปรกคลุมด้วยหิมะ ทันใดทัศนียภาพก็เปลี่ยนเป็นเนินเทือกเขาที่แห้งแล้ง มีแต่ไม้ต้นเตี้ย หรือไมัพุ่ม ทึ่ขึ้นในระดับ 1,000 กว่าเมตรเหนือระดับน้ำทะเลในเขตของเทือกเขาแอตลาสส่วนที่เรียกว่า แอนตี้ แอตลาส (AntiAtlas) ในธรรมชาติ มักจะมีความสมดุลในตัวเอง ความแห้งแล้งในเขตแอนตี้แอตลาส จึงมีพื้นที่บางส่วนที่เหมาะกับการที่มนุษย์จะสร้างพื้นที่สีเขียวท่ามกลางทะเลทราย พื้นที่ที่มีแหล่งน้ำเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชชนิดต่างๆ ที่เรียกว่าโอเอซิส (Oasis) บนเส้นทางครั้งนี้ เราผ่านหลากหลายโอเอซิส ที่ให้ความรู้สึกชุ่มชื่นในทุกครั้งที่เราได้เห็นสีเขียวของมัน เมื่อเข้าเขตทะเลทรายซาฮาร่า (SaharaDesert) เมื่อเอ่ยถึงชื่อ ซาฮาร่า.... เราต่างคุ้นหูเรามาตั้งแต่เล็ก มันคือหนึ่งในทะเลทรายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่ถึง 9.2 ล้านตร.กม. ครอบคลุมบริเวณพื้นที่กว่าสิบประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบตอนเหนือของทวีปแอฟริกา และความงดงามของทะเลทรายซาฮาร่า มักจะทำให้ผู้มาเยือนหลงใหลในเสน่ห์ที่ดูลี้ลับของมัน....และคืนนี้คงไม่เกินจริง ถ้าเราจะบอกว่า ดาวบนท้องฟ้าที่มืดสนิท เหนือทะเลทรายซาฮาร่า ที่เสมือนมีนับล้านดวง.... มันสวย เสียจนไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้เลยหลับฝันดี....ที่ซาฮาร่า bonne nuit Sahara 

ที่นี่...วอซาเซ็ท เมืองถ่ายทำภาพยนตร์ ฮอลลีวู้ด 
แฟนภาพยนตร์หลายๆเรื่อง ทั้งเก่าและใหม่ อย่างเช่น L’awrence of Arabia, Gladiator, Game of Thrones, และอื่นๆอีกมากมาย....ที่ได้มีโอกาสมาเยือนฉากในภาพยนตร์เหล่านี้ คงตื่นเต้น กับความอลังการของสถานที่ต่างๆ ที่ล้วนตั้งอยู่โดยรอบของตัวเมืองวอซาเซ็ท (Ouarzazete) ที่นี่มีโรงถ่ายทำภาพยนตร์ถึง 5 แห่ง ไม่รวมสถานที่อื่นๆที่ถูกใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เช่นกัน อาทิ ป้อมปราการทาอูริท (TaourirtKasbah) ที่เคยเป็นที่อยู่ของตระกูลกลาวี อดีตผู้ปกครองเมืองมาราเกซ ภายในหมู่อาคารที่สวยงามตามสถาปัตยกรรมแบบชาวเบอร์เบอร์ มีห้องหับนับร้อย ว่ากันว่าสมัยนั้นที่นี่มีคนงาน และทหารรับใช้ กว่าพันคนเลยทีเดียว และอีกที่หนึ่งที่ต้องไปหากมาถึงวอซาเซ็ท คือ ป้อมไอท์เบนฮาดดู (Ait Benhaddou Kasbah) ป้อมปราการดิน ที่งดงามและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโมรอคโค ที่นี่ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากยูเนสโก้ ในปี ค.ศ. 1987 อีกด้วยจึงไม่น่าแปลกใจว่า อาชีพเสริมของคนในเมืองนี้ จึงเป็นการรับจ้างเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์ดังๆต่างๆนั่นเอง My impressive day in Marrakech มาไม่ถึงมาร์ราเกซ = มาไม่ถึงโมรอคโค! หากคุณไม่ชอบความวุ่นวาย การมาเยือนเมือง มาร์ราเกซ (Marrakech) อดีตราชธานี ในสมัยราชวงศ์อัลโมราวิด ช่วง ศ.ต.ที่ 11 แห่งนี้ คงจะทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน.... เพราะที่นี่ เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวมากที่สุด นั่นเพราะใครๆก็ต่างอยากมาสัมผัสความวุ่นวายที่อาบสีสัน และเสน่ห์ในกลิ่นอายแบบโมรอคโคขนานแท้ ที่มาร์ราเกซ แห่งนี้ เราไปไหนได้บ้าง ในหนึ่งวันแห่งความประทับใจ ที่มาร์ราเกซ ? เริ่มจาก มัสยิดคูตูเบีย (Koutoubia Mosque) มัสยิดที่ใหญ่สุด เก่าแก่สุดของเมือง เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเมือง ....เค้าว่ากันว่าหากใครหลงหาทางออกจากเมดิน่าไม่เจอ ให้มองสูงๆ หาหอขานของมัสยิดแห่งนี้ เพราะมีความสูงกว่า 70 เมตร 

สุสานราชวงศ์ซาเดียน (Saadian Tombs) สถานที่ฝังพระศพของเหล่ากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ในสมัยราชวงศ์ซาเดียน ซึ่งพึ่งถูกค้นพบในต้น ศ.ต. ที่ 20 ข้างในเป็นสถาปัตยกรรมแบบ มัวร์ริส (Moorish) ที่สวยงามสุดๆ สถานที่อีกแห่ง ที่ไปชมสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งสมัยเก่าและสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว คือ พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) ที่นี่ไม่ได้เป็นวังของกษัตริย์ หากแต่เป็นวังของมหาอำมาตย์ ที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สมัยปลาย ศ.ต. ที่ 19 แฟนพันธุ์แท้ของ อีฟว์ แซ็งโลร็อง (Yves Saint Laurent) นักออกแบบแฟชั่น เชื้อสายแอลจีเรีย แห่งปารีส ต้องไม่พลาดการมาชม สวนมาจอแรล (MajorelleGardens) หรือเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า สวนอีฟว์ แซ็งโลร็อง ที่นี่เคยเป็นบ้านและสวนสวยของเขา ในยามที่เค้าเลือกมาพักผ่อนที่โมรอคโค ที่สำคัญเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์อีฟว์ แซ็งโลร็อง แห่งเดียวบนโลกใบนี้ ที่พึ่งเปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา และแล้วเราก็มาถึงไฮไลต์ของเมืองมาร์ราเกซ.... ในเขตย่านเมืองเก่า เมดิน่าแห่งมาร์ราเกซ นั่นคือ.... จัตุรัสกลางเมืองมาร์ราเกซ หรือ DjemaaElFna Square ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นจัตุรัสที่วุ่นวายที่สุดในทวีปแอฟริกา ฮ่าๆ น่าจะเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริง เพราะพื้นที่ขนาดใหญ่โตมโหฬารของจัตุรัส ที่รอบด้านเป็นตลาดท้องถิ่น ที่เรียกว่า ซุก (Souks) เต็มไปด้วยผู้คน ทั้งคนซื้อ คนขาย คนมาเดินเล่น รถเทียมม้า ศิลปินนักแสดงดนตรีพื้นเมือง ทั้งร้อง ทั้งเต้น นักแสดงมายากล กับลิงน้อย กับงู นักเล่านิทานพื้นเมือง ผู้ชายขายน้ำในชุดแดง และอื่นๆอีกมากมาย ณ เวลานี้บอกเล่าความรู้สึกไม่ถูกเลย ว่าการมายืนอยู่บนจัตุรัสแห่งนี้ สนุกสนานเพียงใด ต้องมาสัมผัสเอง เพราะการถ่ายทอดอารมณ์ ที่ละเอียดอ่อน สวยงาม ผ่านการบันทึกเป็นถ้อยคำ มันไม่ง่ายนัก.... รู้เพียงแต่ว่า เวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว เราค่อยๆมองแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ ตัดกับสีฟ้าเข้มของขอบฟ้า ที่กำลังจะค่อยๆมืดลับดับลงทีละนิด จนมืดสนิท ภาพข้างหน้าที่เห็น เปลี่ยนเป็นภาพตลาดยามค่ำคืน ที่สวยงามจากแสงไฟของร้านค้าที่สว่างไสวตลอดคืน.... สมกับเป็นสวรรค์ของนักช้อป เพราะร้านรวง ที่เต็มไปด้วยของสวย เก๋ ราคาถูก (แต่ต้องต่อเยอะๆ) เปิดถึงสองยามหรือกว่านั้น.... ความเงียบก็จะมาเยือนอีกครั้ง หลังตลาดปิดตัวลงในอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ Viva la viE de MarRakech ! 

Shopping Shopping Shopping!!! ที่โมรอคโคเขาซื้ออะไรฝากกันนะ 
คำตอบ คือ.... หลากหลายสิ่ง ที่หาไม่ได้จากที่อื่นๆบนโลกใบนี้ หาได้ที่ โมรอคโค งานจักสานสวยๆ เท๋ๆ มากับราคาถูกๆ ทั้งกระเป๋าใบน้อยใหญ่ แผ่นรองจานเล่นงานเย็บขอบ เพิ่มลวดลาย สีสันบนชิ้นงาน งานไม้ ที่ทำเป็นที่รองแก้วแบบฉลุลวดลายแบบโมรอคคัน กล่องไม้เพ้นท์ลายเก๋ๆ งานเซรามิก ทั้งที่ปั้นมือเป็นภาชนะต่างๆ เช่นโต๊ะ เก้าอี้ จาน ชาม แก้วน้ำ รวมทั้งภาชนะของชาวโมรอคโค ที่เรียกว่า “ทาจีน” (Tajines) รูปร่างเหมือนจานชาม ที่มีฝาทรงสูงคล้ายเจดีย์ครอบ เครื่องหนัง เสื้อแจ๊กเก็ตหนัง รองเท้าหนัง (แถมงานปักลวดลาย แบบแขกมัวร์) กระเป๋าหนังทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ ผ้าปัก ผ้าทอ ลายเบอร์เบอร์ (Berber) ชนเผ่าพื้นเมืองที่มีลวดลายสัญลักษณ์ชนเผ่า ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เอามาทำเป็นพรมทอมทอ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าโพกศีรษะ กระเป๋าสะพาย เก๋และเท่ห์ไม่เหมือนใคร เครื่องทองเหลือง ทองแดง ทั้งที่เป็นภาชนะใช้สอย หรือของใช้ประดับตกแต่งบ้าน รวมทั้งที่ทำเป็นโคมไฟฉลุ ติดกระจก แบบสวยงาม หรูหราเกินราคาเครื่องเทศ หลากชนิด เยอะไปหมด (อันนี้คนไทยไม่ค่อยซื้อ กลิ่นไม่ค่อยถูกกัน ) แม๊กเน็ต ติดตู้เย็น (Magnets) ที่นี่ดีไซน์โดดเด่น โดยเฉพาะแม๊กเน็ตรูปประตู ที่มีหลายแบบ หลากสีมากๆ สวยสดทุกอัน ภาพวาดหลากอารมณ์ บนผืนผ้าใบ Canvas หรือบนชิ้นไม้.... ที่ชอบที่สุดโดยส่วนตัว เห็นจะเป็น ภาพดวงหน้าที่ถูกปกปิดด้วยผ้าโพกศีรษะสีน้ำเงินสด ของ indigo ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของชนเผ่า Blue Berber สุดท้ายที่เป็นสินค้ายอดนิยมที่สุด คงเป็น น้ำมันอาร์แกน (Argan Oil) ซึ่งเป็นสินค้าเฉพาะ ของโมรอคโค สรรพคุณของเมล็ดอาร์แกน ถ้ามาทำเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง เน้นที่การให้ความชุ่มชื่นคืนสุขภาพที่ดีให้กับเส้นผม และผิวหนังบริเวณที่ใช้ทา จึงไม่แปลกใจ ที่น้ำมันอาร์แกน สินค้าวิสาหกิจชุมชนที่ทำโดยกลุ่มแม่บ้านสตรี เป็นสินค้าที่ระลึกติดชาร์ตอันดับหนึ่ง ของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคนไทย มาโดยตลอด Morocco ....a Paradise for ShopperS

Top